มาตรฐาน LM-79 และ LM-80 คืออะไร? มาตรฐานสำคัญของโคมไฟ LED

มาตรฐาน LM-80 และ LM-79 คืออะไร? ยุคที่ตลาดหลอดไฟ LED เติบโตอย่างรวดเร็วและแข่งขันกันสูงขึ้นทุกวัน “ความน่าเชื่อถือ” และ “ประสิทธิภาพจริง” สิ่งสำคัญของการเลือกสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงธุรกิจหรือโปรเจกต์ระดับมืออาชีพ เช่น อาคารสำนักงาน งานโครงการ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่โรงพยาบาลที่ต้องการมาตรฐานความสว่างที่เสถียรตลอดเวลา สองมาตรฐานที่มืออาชีพในวงการแสงสว่างต้องรู้จักคือ LM-79 และ LM-80

LM-80: ชี้ชัดเรื่องอายุการใช้งานของ Chip LED

หนึ่งในคำถามยอดฮิตของลูกค้าเมื่อเลือกซื้อหลอด LED คือ “มันจะใช้งานได้นานแค่ไหน?” ซึ่งต่างจากหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มักมีอายุการใช้งานชัดเจน การเสื่อมของ LED นั้นไม่ได้ “ดับทันที” แต่ประสิทธิภาพในการส่องสว่างจะลดลงเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว

มาตรฐาน LM-80 จึงเข้ามาเพื่อให้คำตอบนี้ โดยเน้นไปที่ การวัดค่าความสว่าง (lumen) ที่ลดลงของเม็ด LED เมื่อเวลาผ่านไป การทดสอบจะดำเนินต่อเนื่อง 6,000 ถึง 10,000 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิจำเพาะ 55°C 85°C และอีกหนึ่งอุณหภูมิที่ผู้ผลิตเลือกเอง เพื่อดูว่าแสงจะลดลงเร็วแค่ไหนเมื่อเจอสภาวะแวดล้อมต่างกัน โดยวัดค่ากำลังส่องสว่าง ทุกๆ 1,000 ชั่วโมง จะได้ค่าความส่องสว่างที่ลดลง และถูกนำมา พล็อตกราฟ และเทียบบัญญัติไตรยางค์ เพื่อคาดการณ์ค่าความส่องสว่าง

หากค่าความสว่างลดลงถึงระดับ 70% ของค่าเริ่มต้นหรือลดลง 30 % (เรียกว่า L70) จะถือว่าเม็ด LED นั้น “หมดอายุการใช้งาน” ซึ่งผู้วางระบบไฟฟ้าในโรงงานหรืออาคารจะใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพื่อรักษาค่าความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานให้เป็นไปตามมาตรฐานค่าความส่องสว่าง (ลักซ์ หรือ Lux) ต่อไป ไม่ต้องรอให้ไฟดับก่อนค่อยเปลี่ยน

ตัวแปรสำคัญที่ตรวจสอบใน LM-80 ได้แก่

• L70 – จุดที่ค่าความสว่างลดลงถึง 70% ของค่าเริ่มต้น ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า LED ถึงอายุการใช้งานที่ต้องเปลี่ยน
• อุณหภูมิทดสอบ – ส่งผลต่ออัตราการเสื่อมของเม็ด LED
• การเปลี่ยนแปลงของสี (Chromaticity Shift) – สีของ LED อาจเพี้ยนไปตามการใช้งานระยะยาว
• อัตราการเสียหายของเม็ด LED – ระบุจำนวนที่เสียระหว่างการทดสอบ

 

LM-79: เผยสมรรถนะของโคมไฟทั้งระบบ

มาตรฐาน LM-79 คือตัวชี้วัดสมรรถนะของโคมไฟ LED ทั้งชุด ไม่ใช่แค่เม็ด LED ต่างจาก LM-80 ที่โฟกัสเฉพาะเม็ด LED โดยให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับความสว่าง, สี, และการกระจายแสง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมในห้องแล็บเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำที่สุด ทำให้ลูกค้าสามารถทราบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซื้อซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วไปและนักออกแบบแสงมักใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อ

ตัวแปรสำคัญที่ตรวจสอบใน LM-79 ได้แก่

• ค่าความสว่าง (Luminous Flux) – ปริมาณแสงที่ปล่อยออกมา
• ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Luminous Efficacy) – จำนวนลูเมนที่ผลิตได้ต่อวัตต์ของพลังงานที่ใช้
• การกระจายแสง (Light Distribution) – ทิศทางและรูปแบบของแสงที่ปล่อยออกมา
• ความถูกต้องของสี (CRI) – ความสามารถของแสงในการแสดงสีวัตถุให้เหมือนแสงธรรมชาติ
• อุณหภูมิสี (CCT) – ลักษณะสีของแสง (โทนแสงเหลือง,ขาวอุ่น, ขาวเย็น)

กราฟแสดงผลที่ได้จากการทดสอบ เช่น กราฟโพลาร์ (Polar Plot) และ กราฟสเปกตรัม (SPD) ช่วยให้นักออกแบบแสงประเมินได้ว่าโคมนั้นเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่แบบใด เช่น ต้องการแสงกระจายกว้างหรือพุ่งเป็นจุด ต้องการแสงขาวนวลหรือแสงขาวเย็น เป็นต้น

ตารางเปรียบเทียบ LM-79 และ LM-80 แบบเข้าใจง่าย 

หัวข้อเปรียบเทียบ	LM-80 (ทดสอบเม็ด LED)	LM-79 (ทดสอบโคมทั้งชุด)
จุดประสงค์หลัก	ประเมินอายุการใช้งานของเม็ด LED	ประเมินประสิทธิภาพของโคมไฟ
ขอบเขตการทดสอบ	ค่าลูเมนที่ลดลงตามเวลา	การกระจายแสง, ความสว่าง, สี
ใช้กับอะไร	เม็ด LED โดยเฉพาะ	โคมไฟ LED ทั้งชุด
ระยะเวลาทดสอบ	ไม่ระบุ (ทดสอบช่วงเวลาหนึ่ง)	อย่างน้อย 6,000–10,000 ชม.
ความเกี่ยวข้องในเชิงการตลาด	สร้างความมั่นใจด้านคุณภาพแสง	ช่วยยืนยันความทนทานและความคุ้มค่า

 

บทสรุป

มาตราฐาน LM-79 และ LM-80 เป็นมาตรฐานสำคัญในการเลือกหลอดไฟ LED ที่มีคุณภาพและทนทาน LM-80 ใช้ตรวจสอบอายุการใช้งานของเม็ด LED โดยวัดอัตราการลดลงของความสว่างตามเวลา LM-79 เน้นการวัดประสิทธิภาพของโคมไฟ LED ทั้งชุด รวมถึงความสว่าง สี และการกระจายแสง

มาตราฐานที่ช่วยให้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขในสเปคชีตเท่านั้น แต่มันคือกุญแจที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เขา “เลือกถูก” ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจซื้อ

RICHEST SUPPLY ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์แสงสว่างไม่ว่าจะเป็นโคมไฮเบย์ โคมไฟถนน สปอร์ตไลท์ เสาไฟถนน หลอดไฟ LED และโซล่าเซลล์ สนใจสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมที่ LINE Official Account: @richestsupply หรือ Facebook: https://www.facebook.com/enrichled